Book Review : ถ้าอยากขายซุป ต้องขายขนมปังด้วย

สวัสดีค่ะ บล๊อคนี้จิปาถะหน่อยนะคะ เพราะออกแนวนึกอะไรออก หรืออยากเขียนอะไรก็เขียนเลย

ส่วนวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องหนังสืออ่านสนุกเล่มนึงกัน หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “ถ้าอยากขายซุป ต้องขายขนมปังด้วย” แค่ชื่อก็ทำให้ เอ๊ะ แล้วใช่มะ ทำไมหล่ะ ทำไมขายซุปแล้วต้องขายขนมปัง มันเกี่ยวอะไรกันยังไงเนี่ย

เมื่อสงสัยแล้วก็ได้เวลาหาคำตอบ เรามาท่องไปในหนังสือเล่มนี้กันเลยดีกว่า

เนื้อหาของหนังสือนั้นแบ่งเป็นหัวข้อหลักๆดังนี้

1. การขายด้วยเทคนิค “แต่”โดยรวมของบทนี้ เป็นการพูดถึงวิธีการขายแบบต่างๆที่แตกต่างไปจากเดิม โดยการใช้วิธีขายแบบใหม่ๆ แทนที่จะเป็นการเปลี่ยนที่ตัวสินค้า ทำให้ลูกค้าเกิดความว๊าว หรือ เอ๊ะ แบบนี้ก็มีด้วยเหรอ และเมื่อลูกค้าเกิดความสนใจ จึงทำให้อยากรู้จัก อยากลองใช้สินค้านั้นๆ ทั้งยังมีการยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากบริษัทต่างๆมาให้อ่านกันเพลินๆ เช่น ร้านขายเกลือ”แต่”ใช้หลอดทดลองมาใส่เกลือ หรือไม่ว่าจะเป็น ขายเต้าหู้”แต่”ขายในงานแฟชั่นโชว์ (อันนี้คิดได้ไงมากๆ)

2. การขายด้วยเทคนิค “แผลง”อันนี้เป็นการขายที่เน้นขายอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวสินค้าโดยตรง เช่นการขายของควบคู่แทนการขายตัวสินค้า ไม่ก็ การขายประโยชน์ใช้สอยรูปแบบอื่นที่นอกเหนือจากวัตถุประสงค์หลัก และหนึ่งในกรณีศึกษาของบทนี้คือที่มาของชื่อหนังสือเลยจ้าโดยยกตัวอย่างมาจากแบรนด์ Knorr ณ ประเทศญี่ปุ่น ภายใต้บริษัท Ajinomoto ซึ่งตอนนั้นเกิดปัญหายอดขายตกต่ำ จนสุดท้ายทำวิจัยและพบว่า…

คนที่กินคนอร์คัปซุปเป็นอาหารเช้า เป็นผู้ที่ชอบกินขนมปังมากกว่าข้าว แต่คนที่กินขนมปังกลับไม่ได้กินกับคนอร์คัปซุป  เลยจัดการลองออกแคมเปญให้ลูกค้าทดลองชิม เอาขนมปังจุ่มในซุปดู ขายความสนุกเพลิดเพลินแทนการเน้นแต่ตัวสินค้า แถมผลยังออกมาดีเกินคาด

3. การขายด้วยเทคนิค “สลับ”การสลับนี้ก็ตรงตัว คือการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย จากกลุ่มหนึ่งเป็นอีกกลุ่ม หนังสือได้ยกตัวอย่างกรณี สมุดระบายสี ที่แต่ก่อนเน้นขายเด็ก ซึ่งภายหลังได้พบว่า คนอายุมาก ก็ชอบระบายสีนะ เลยทำหนังสือระบายสีสำหรับผู้ใหญ่ขึ้นมา หรืออีกตัวอย่าง การขายแว่นตาให้คนที่ไม่จำเป็นต้องใช้แว่นตา ไม่ธรรมดาเลย

นอกเหนือจากสามหัวข้อหลักข้างต้นแล้ว ยังมีบทที่ว่าด้วยเรื่อง “การมัดใจ” และ “การขายด้วยโครงสร้าง” อีกด้วย อ่านเพลิน สนุก และได้ความรู้ ใครสนใจ ลองหาอ่านกันดูนะคะ